เมื่อพูดถึงราคาบ้านและที่ดิน เรามักจะได้ยินหลายต่อหลายคนพูดอยู่เสมอว่า “มีแต่เพิ่ม ไม่มีลด” หากมองในภาพรวมก็อาจเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าเจาะลึกไปในแต่ละทำเล ประเภทอสังหาฯ และช่วงเวลา จริงๆแล้วราคาบ้านและที่ดินนั้นก็มีความผันผวน ขึ้น-ลง ไม่แตกต่างกับสินค้าประเภทอื่นเลยครับ แต่ช่วงเวลานี้มีของถูกให้เลือกเยอะเลยครับ เป็นเพราะปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อราคาบ้านมาดูกันครับ
1. ทำเลที่ตั้ง
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการซื้อบ้าน เพราะถ้าซื้อบ้านในทำเลที่ดี จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้ และสร้างความสะดวกสบายให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ไม่ใช่แค่เฉพาะตัวทำเลที่ตั้งของบ้านเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงสภาพแวดล้อม, ความปลอดภัย และสถานที่สำคัญที่ใกล้เคียง ที่จะส่งผลให้ทำเลนั้นๆ เป็นทำเลทอง ควรค่าแก่การซื้อบ้านมากขึ้น ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้จึงส่งผลให้ราคาบ้านพุ่งสูงขึ้นนั่นเอง
2. ศักยภาพของทำเลในอนาคต
นอกจากลักษณะทำเลในปัจจุบันแล้ว ผู้ซื้ออสังหาฯ จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลข่าวสาร เพื่อคาดการณ์แนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตอีกด้วย ว่าทำเลนั้นมีศักยภาพในด้านใด และจะพัฒนาไปในทิศทางไหน
เช่น หากเลือกบ้านในกรุงเทพฯ ย่านกลางใจเมือง ก็อาจได้ความสะดวกสบายจากการสร้างทางด่วน สถานีรถไฟฟ้าและแหล่งไลฟ์สไตล์ แต่อาจต้องแลกมาด้วยพื้นที่สีเขียวที่ลดลง ราคาบ้านและค่าครองชีพที่สูงขึ้น
แต่หากเลือกบ้านชานเมือง ซึ่งเป็นทำเลที่พัฒนาต่อได้เยอะ ก็อาจเป็นไปได้หลายทิศทาง เช่น มีศักยภาพเติบโตเป็นย่านธุรกิจได้ หรือหากมีสภาพแวดล้อมดีก็อาจกลายเป็นย่านที่อยู่อาศัย ซึ่งจะมีโครงการบ้านเกิดขึ้นอีกหลายโครงการในอนาคต
เช่น หากเลือกบ้านในกรุงเทพฯ ย่านกลางใจเมือง ก็อาจได้ความสะดวกสบายจากการสร้างทางด่วน สถานีรถไฟฟ้าและแหล่งไลฟ์สไตล์ แต่อาจต้องแลกมาด้วยพื้นที่สีเขียวที่ลดลง ราคาบ้านและค่าครองชีพที่สูงขึ้น
3. อัตราเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น หรือถ้าพิจารณาจากค่าของเงิน เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่ค่าเงินลดลง สรุปง่ายๆ ว่า เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่ของแพงขึ้นนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น จากเดิม ก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม ราคา 35-40 บาท แต่เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ด้วยกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ราคาวัตถุดิบและค่าแรงที่สูงขึ้น ก็อาจทำให้ราคาก๋วยเตี๋ยวปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50-60 บาทได้
สภาพเศรษฐกิจ นโยบายรัฐและอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการสร้างบ้าน เนื่องจากโดยปกติแล้ว อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นทุกปี ค่าวัสดุ ค่าแรงงาน ราคาที่ดินก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ราคาบ้านแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว
4. อุปสงค์และอุปทาน (Demand Supply)
อุปสงค์ (demand) หมายถึง ความต้องการหรือความสามารถในการซื้อสินค้าและบริการ
อุปทาน (supply) หมายถึง สินค้าหรือบริการที่พร้อมจะขายเพื่อตอบสนองความต้องการซื้อ
ในภาวะที่มีการสร้างบ้านออกมามากเกินไป จนเกินความต้องการของผู้บริโภค ทำให้บ้านขายได้ยากขึ้น ผู้พัฒนาโครงการจึงต้องใช้โปรโมชันต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ เช่น ฟรีค่าโอน แจกของสมนาคุณ และอาจรวมถึงการลดราคาบ้านด้วย
ในขณะเดียวกัน หากบ้านในทำเลทองซึ่งมักมีอยู่ไม่กี่โครงการ เป็นที่นิยมของตลาดอย่างมาก ผู้พัฒนาโครงการก็ไม่จำเป็นต้องลดราคาหรือใช้โปรโมชั่นส่งเสริมการขายมากนัก และในอนาคตโครงการบนทำเลดีๆ ก็มักจะมีราคาสูงขึ้น ทั้งบ้านมือหนึ่ง และบ้านมือสองซึ่งอาจเป็นบ้านที่ซื้อขายเพื่อเก็งกำไรอยู่แล้ว
5.ความปลอดภัย
การจะลงหลักปักฐานเลือกที่อยู่อาศัยที่ใดสักที่หนึ่งนั้น สิ่งที่คนเราต้องการมากที่สุดก็คือความปลอดภัย เพราะบ้านควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อบ้าน ควรสอบถามถึงเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยรอบๆ โครงการ การติดตั้งอุปกรณ์ดูแลความปลอดภัยภายในบ้าน รวมทั้งการสำรวจชุมชนในละแวกใกล้เคียงว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร หรือมีมุมมืด มุมอับที่เสี่ยงอันตรายอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณโครงการหรือไม่
บ้านที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ครบวงจร จะมีราคาสูงกว่า เพราะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มเข้ามาด้วยนั่นเอง
6. มาตรการของรัฐ
มาตรการส่งเสริมธุรกิจอสังหาฯ ของรัฐ อาจมาในรูปแบบการเพิ่ม/ลดค่าโอน ค่าธรรมเนียมต่างๆ หรือกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำ ซึ่งไม่ได้มีผลต่อราคาบ้านโดยตรง แต่เป็นค่าใช้จ่ายแฝงในการซื้อบ้าน มาตรการเหล่านี้มีออกมาใหม่และเปลี่ยนแปลงเป็นประจำตามนโยบายของรัฐ เราจึงต้องคอยติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7.โปรโมชั่นของโครงการ
ช่วงนี้ถือโอกาสทอง ของคนอยากมีบ้าน กับราคาดีที่สุดในรอบ 10 ปีเลยก็ว่าได้ ถือเป็นจังหวะที่ดีของคนอยากมีบ้านมากๆครับ ในการตัดสินใจคว้าโอกาสดีๆ แบบที่หาไม่ได้ในช่วงสถานการณ์ปกติ ซึ่งโปรโมชั่นส่งเสริมการขายต่างๆ มักจะมาในช่วงที่กำลังซื้อน้อย หรือเศรษฐกิจไม่ดี เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้ที่มีโรคระบาดโควิด19 ทำให้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น